เอกสาร Preprint และ Postprint คืออะไร
Preprint หมายถึง เอกสารที่ถูกส่งไปก่อนเพื่อตีพิมพ์ล่วงหน้า เป็นเรื่องย่อ หรือรายละเอียดของเรื่อง กำหนดการลำดับเรื่อง ภาพประกอบ บางครั้งอาจเป็นรายงานความก้าวหน้าของงานวิจัย ซึ่งเข้าใจยากกว่าบทความประชุมทางวิชาการ หรือหมายถึงเอกสารที่ตีพิมพ์ล่วงหน้า รวมไปถึงสิ่งพิมพ์ที่มีกำหนดออกอย่างสม่ำเสมอ แต่นำมาตีพิมพ์ไว้ล่วงหน้าก่อน เช่น บทความในวารสารหรืออาจเป็นเรื่องย่อของบทความที่จะบรรยายในทีประชุม เพื่อแจกจ่ายให้ล่วงหน้า นอกจากนี้ เอกสาร Preprint ยังหมายถึง เอกสารที่ยังมิได้ผ่านการพิจารณาจากกรรมการ
เอกสาร Postprint เป็นเอกสารหลังการจัดพิมพ์ที่ได้รับการปรับเปลี่ยนจากเอกสาร Preprint ซึ่งอยู่ในระหว่างการดำเนินการตีพิมพ์และกำลังได้รับการประเมินคุณภาพเอกสาร
Grey literature คือทรัพยากรสารสนเทศประเภท บทความวิจัย หรือวรรณกรรมที่ไม่มีการตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งจัดได้ว่าเป็นเอกสารที่ค่อนข้างหาได้ยาก มีการเผยแพร่ในวงจำกัด เช่น รายงานการประชุมและสัมมนา รายงานการศึกษา การสำรวจ และการวิจัย
บทความวิชาการแบบ White Paper คือบทความที่บุคคล หรือกลุ่มที่มีความเชี่ยวชาญในด้านนั้นๆ ได้นำเสนอเพื่ออธิบายถึงผลของการพัฒนา บริษัทธุรกิจเองใช้เทคนิค White Paper เพื่อนำเสนอสิ่งที่เขาต้องการชี้แจงแก่สังคมเกี่ยวกับงานวิชาการ งานประดิษฐและข้อค้นพบที่เขาดำเนินการอยู่ White Paper จึงไม่ใช่งานโฆษณา แต่ต้องเป็นเรื่องที่มีข้อมูลข้อเท็จจริง จัดเป็นกระบวนการให้การศึกษาแก่ประชาชน หรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นกระบวนการให้การศึกษาเพื่อการตลาด แต่ไม่ใช่เรื่องของการโฆษณาชวนเชื่อ
กฎหมายลิขสิทธิ์กับงานสารสนเทศ
ปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศได้เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ผู้คนจำนวนมากได้รับประโยชน์จากการติดต่อสื่อสารที่รวดเร็วและมีค่าใช้จ่ายถูกลง การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารจึงเป็นไปโดยสะดวกมากยิ่งขึ้น ผู้เป็นเจ้าของข้อมูลข่าวสารก็สามารถส่งข้อมูลไปยังสาธารณชนได้ง่ายและกว้างขวางรวดเร็วมากขึ้น แต่ขณะเดียวกัน การนำเอางานอันมีลิขสิทธิ์ของผู้อื่นมาเผยแพร่ต่อสาธารณชนโดยใช้เทคโนโลยีต่างๆ เป็นเครื่องมือก็มีมากตามไปด้วย ดังนั้น ผู้ประกอบการในด้านกลุ่มอุตสาหกรรมจึงได้รับผลกระทบจากการละเมิดลิขสิทธิ์มากที่สุด แม้ว่างานสร้างสรรค์เหล่านี้จะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายลิขสิทธิ์และมีอายุการคุ้มครองที่ยาวนานกว่าทรัพย์สินทางปัญญาประเภทอื่น
กฎหมายลิขสิทธิ์ มาตรา 32 การกระทำแก่งานอันมีลิขสิทธิ์ของบุคคลอื่นตามพระราชบัญญัตินี้ หากไม่ขัดต่อการแสวงหาประโยชน์จากงานอันมีลิขสิทธิ์ตามปกติของเจ้าของลิขสิทธิ์และ ไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิอันชอบด้วยกฎหมายของเจ้าของลิขสิทธิ์เกินสมควร มิให้ถือว่า เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ ภายใต้บังคับบทบัญญัติในวรรคหนึ่ง การกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งแก่งาน อันมีลิขสิทธิ์ตามวรรคหนึ่งมิให้ถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ ถ้าได้กระทำดังต่อไปนี้
1.วิจัยหรือศึกษางานนั้น อันมิใช่การกระทำเพื่อหากำไร
2. ใช้เพื่อประโยชน์ของตนเอง หรือเพื่อประโยชน์ของตนเองและบุคคลอื่น ในครอบครัวหรือญาติสนิท
3. ติชม วิจารณ์ หรือแนะนำผลงานโดยมีการรับรู้ถึงความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ ในงานนั้น
4. เสนอรายงานข่าวทางสื่อสารมวลชนโดยมีการรับรู้ถึงความเป็นเจ้าของ ลิขสิทธิ์ในงานนั้น
5. ทำซ้ำ ดัดแปลง นำออกแสดง หรือทำให้ปรากฏ เพื่อประโยชน์ในการ พิจารณาของศาลหรือเจ้าพนักงานซึ่งมีอำนาจตามกฎหมาย หรือในการรายงานผลการ พิจารณาดังกล่าว
6. ซ้ำ ดัดแปลง นำออกแสดง หรือทำให้ปรากฏโดยผู้สอน เพื่อประโยชน์ ในการสอนของตน อันมิใช่การกระทำเพื่อหากำไร
7. ทำซ้ำ ดัดแปลงบางส่วนของงาน หรือตัดทอนหรือทำบทสรุปโดยผู้สอน หรือสถาบันศึกษา เพื่อแจกจ่ายหรือจำหน่ายแก่ผู้เรียนในชั้นเรียนหรือในสถาบันศึกษา ทั้งนี้ ต้องไม่เป็นการกระทำเพื่อหากำไร ( 8 ) นำงานนั้นมาใช้เป็นส่วนหนึ่งในการถามและตอบในการสอบ
ในการพิจารณาว่าการใช้เป็นการกระทำเพื่อหากำไรหรือไม่ จะพิจารณาจาก การใช้ เป็นเกณฑ์ ไม่ใช่พิจารณาจาก ตัวผู้ใช้ เช่น สถาบันการศึกษาเอกชนที่นำตำราเรียนบางส่วนที่มีลิขสิทธิ์ของบุคคลอื่นมาจำหน่ายในสถาบันฯ เช่นนี้ แม้ว่าสถาบันจะเป็นโรงเรียนที่มีวัตถุประสงค์เพื่อหากำไรในการดำเนินการสถาบัน แต่ไม่ได้จำหน่ายสำเนาตำราเรียนเกินราคาถ่ายหรือจัดทำเอกสาร ก็ถือว่าเป็นการใช้โดยไม่แสวงหากำไร จึงเป็นการใช้งานลิขสิทธิ์ที่เป็นธรรม เป็นต้น
ปริมาณการใช้งานลิขสิทธิ์
1. ภาพเคลื่อนไหว
2. ดนตรีกรรม และมิวสิควิดีโอ สามารถทำซ้ำและหรือเผยแพร่ได้ไม่เกิน 10% หรือ 3 นาที ของแต่ละเรื่อง สามารถทำซ้ำ และ / หรือ ในสำเนางานได้ไม่เกิน 10% แต่ต้องไม่มากกว่า 30 วินาที ของแต่ละ งานและจะดัดแปลงทำนองหรือส่วนอันเป็นสาระสำคัญไม่ได้
3 . รูปภาพและภาพถ่ายใช้ได้ไม่เกิน 5 ภาพ ต่อผู้สร้างสรรค์ 1 ราย หากเป็นการใช้ภาพจากงานวารสารหรือสิ่งพิมพ์ สามารถใช้ได้ไม่เกิน 10% หรือ 15 ภาพ ของจำนวนภาพทั้งหมดที่ปรากฏในวารสารหรือ สิ่งพิมพ์นั้น
4. ข้อความทำซ้ำและหรือเผยแพร่ได้ไม่เกิน 10% หรือ 1,000 คำ ของแต่ละเรื่องหรือแต่ละบทความ
5. ข้อมูลจากงานรวบรวมอันมีลิขสิทธิ์ไม่เกิน 10% หรือ 2,500 รายการ / ข้อมูล
ระยะเวลาที่ให้ความคุ้มครอง
ผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ มีสิทธิแต่เพียงผู้เดียว ในการใช้ประโยชน์จากผลงานสร้างสรรค์ของตน ในการทำซ้ำ ดัดแปลง หรือเผยแพร่ต่อสาธารณชน รวมทั้งสิทธิในการให้เช่า โดยทั่วไปอายุการคุ้มครองสิทธิจะมีผลเกิดขึ้นทันทีที่มีการสร้างสรรค์ผลงาน โดยความคุ้มครองนี้จะมีตลอดอายุของผู้สร้างสรรค์ และคุ้มครองต่อไปอีก 50 ปีนับแต่ผู้สร้างสรรค์เสียชีวิต แต่ในปัจจุบันมีการเพิ่มขึ้นเป็น 70 ปี แล้ว และในประเทศสหรัฐอเมริกา ผลงานขององค์กรมีการคุ้มครองเป็นระยะเวลาถึง 120 ปี เนื่องจากมีการเพิ่มจำนวนอายุการคุ้มครองเพิ่มขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น